This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ขยัน ขมิบ แล้วชีวิตรักจะ กระชับ ขึ้น

อีกหนึ่งปัญหาส่วนตั๊วส่วนตัวที่หญิงเราอดกังวลไม่ได้ คือ ช่องคลอดหลวม

 ไม่ว่าจะเพราะผ่านการคลอดลูกมาแล้ว, ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดบ่อยๆ, หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองบ่อยๆ กระทั่งการร่วมเพศบ่อยๆ ฯลฯ
       
       “การสอดใส่สิ่งใดๆ ในช่องคลอด ทำให้เยื่อพรหมจารีย์ฉีกขาดเท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้ช่องคลอดหลวม”
       
       คำตอบของสูตินรีแพทย์เจ้าประจำทำให้เราสบายใจขึ้น และเผยสาเหตุเดียวที่ทำให้ช่องคลอดหลวม
       
       “มีอย่างเดียวคือ การคลอดบุตรทางช่องคลอดตามธรรมชาติ เพราะช่องคลอดอาจจะสูญเสียความสามารถในการบีบรัดตัว”
       
       หลายคนจึงพึ่งหมอสูติฯทำรีแพร์ (Repair) ยอมเสียตังค์เป็นพันเป็นหมื่นไปทำสาว ทว่าการทำรีแพร์นั้น เป็นการเย็บผนังช่องคลอดให้ตึงเท่านั้นนะจ๊ะ ขณะที่กล้ามเนื้อภายในช่องคลอดโดยรอบยังหลวมอยู่ หมายความว่าช่องคลอดก็จะไม่ได้มีแรงพอที่จะบีบรัด...
       
       อะฮ้า! ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ
       
       “ขมิบ”ด้วยตัวเองเท่านั้น เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด
       
       ตามประวัติ คุณหมอสูติฯ Kegel เป็นผู้คิดค้นเทคนิคขมิบเมื่อ 50 ปีก่อน เพื่อรักษาผู้ป่วยหญิงที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แต่ผลออกมาได้สองเด้ง นอกจากช่วยรักษาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ให้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้คนไข้มีชีวิตเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้นด้วย คนไข้กลับมาเล่าว่าสามีได้รู้สึกรับสัมผัสได้ยอดมาก ส่วนตัวเองก็รู้สึกถึงจุดสุดยอดได้เยี่ยมกว่าเดิม
       
       เทคนิคนี้จึงได้รับการขนานนามว่า Kegel exercise
       
       “ขมิบโดยความหมาย หมายถึง การทำให้ช่องทวารหนัก ทวารเบาเม้มไว้ การเม้มหรือขมิบโดยปกติก็มีหรือเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ที่ต้องฝึกก็เพื่อให้สามารถควบคุมได้ตามที่เราต้องการ เช่น ความแรง ความนาน จำนวนครั้ง”
       
       จากบทความของ นพ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ อธิบายความหมายไว้ ท่านบอกชื่อกล้ามเนื้อของเราที่ใช้ในการขมิบด้วยค่ะ
       
       “การขมิบต้องอาศัยกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานที่เรียกว่า ชุดกล้ามเนื้อซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อย่อยๆ อีกหลายชิ้น เช่น กล้ามเนื้อ pubococcigeous, กล้ามเนื้อ puborectalis แต่กล้ามเนื้อหลักที่ใช้งานคือ กล้ามเนื้อ pubococcigeous หรือเรียกย่อๆ ว่า PC บางคนจึงเรียกการออกกำลังกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานว่า PC exercise หรือ pelvic floor exercise”
       
       เอาล่ะ ต่อไปนี้เรามาศึกษาวิธีการออกกำลังกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน หรือเรียกง่ายๆ ว่า มาฝึกขมิบกันค่ะ
       
       How to ขมิบ
       
       1. ขมิบหรือเกร็งกล้ามเนื้อไว้ นับหนึ่งถึงสามแล้วปล่อย หายใจเข้าออกตามปกติ
       
       2. เกร็งกล้ามเนื้อขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะการหายใจเข้า โดยจะต้องระวังอย่าเผลอเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องตามไปด้วย
       
       3. ขมิบแล้วปล่อย ขมิบแล้วปล่อยสลับกันไป ทำให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้พร้อมกับหายใจเข้าตามปกติ
       
       4. ออกแรงเบ่งให้เหมือนว่ากำลังพยายามดันอะไรบางอย่างออกจากช่องคลอดหรือกำลังรีบฉี่ให้หมดเร็วๆ ตามปกติคนมักกลั้นหายใจเวลาทำแบบนี้ แต่ตามหลักการ Kegel exercise ต้องพยายามหายใจตามปกติให้ได้
       
       ขมิบให้ได้ผลดี คุณต้องมีวินัย...
       
       - ความแรงของการขมิบ ให้กล้ามเนื้อบริเวณก้น ท่อปัสสาวะ และช่องคลอด การหดรัดตัวอยู่ในระดับปานกลาง โดยสามารถ ‘สั่ง’ ให้ขมิบหรือหยุดขมิบได้
       
       - การปฏิบัติมิใช่แค่ขมิบแล้วคลายทันที แต่ต้องทำเหมือนคนเล่นกล้าม คือ ขมิบและเกร็งไว้ราว 10 วินาที (นับ 1-10) แล้วค่อยคลาย อย่างนี้เรียกว่า 1 ครั้ง
       
       - จำนวนครั้ง ควรทำให้ได้ 6-10 ครั้งต่อชุด และฝึกอย่างน้อยวันละ 6-10 ชุด แต่จะขมิบวันละกี่ชุดก็ได้ ไม่ต่ำกว่า 100 ครั้งต่อวันยิ่งดี แต่ไม่ต้องทำรวดเดียวจบ เสนอให้แบ่งเป็นหลังอาหารสามเวลา เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เพิ่มรอบดึกได้
       
       - การฝึกขมิบช่วงแรกๆ ให้เริ่มวันละน้อยๆ ครั้ง เพราะทำใหม่ๆ จะเหนื่อยง่าย เดี๋ยวจะหมดแรงเสียก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งขึ้นเรื่อยๆ …แนะนำว่ายิ่งทำมากเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น
       
       - การฝึกขมิบควรทำเป็นคอร์สๆ ละ 1-3 เดือน ซึ่งการขมิบจะได้ผลและมีประสิทธิภาพจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ค่ะ
       
       ขณะขมิบ ไม่ควร...
       
       - ไม่ควรเกร็งกล้ามเนื้อหน้าอกและกลั้นหายใจขณะฝึก ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
       
       - ไม่ควรเกร็งกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเนื้อหลังขณะฝึก ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการปวดท้อง และปวดหลัง
       
       - ไม่ควรขมิบขณะที่ปวดปัสสาวะมากๆ เพราะการกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ตอนที่กระเพาะปัสสาวะเต็มจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
       
       ขมิบไปเถอะค่ะไม่ว่าจะเป็นสาววัยใด แม้แต่สาวรุ่นอายุน้อย เพราะจะเป็นประโยชน์ทีเดียวสำหรับสตรีที่ยังไม่เคยมีบุตร และสตรีที่ผ่านการมีบุตรแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว นอกจากจะช่วยให้ชีวิตรักการมีเพศสัมพันธ์ของคุณแฮปปี้ขึ้น ยังช่วยป้องกันเรื่องการหย่อนตัวของมดลูก ทวารหนัก และกระเพาะปัสสาวะในระยะยาว ดีต่อสุขภาพภายในของหญิงเราอีกด้วยนะ...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

จิ๋มตดขณะติ๊ดชึ่ง เรื่องปกติของกามกิจ หรือเครื่องหลวม

By Lady Manager

"อุ้ย! ทำไงดี เขินจัง น้องสาวปล่อยตด ขณะกำลังกระดึ่งดึ๊งกับแฟน บังเอิญมีลมพุ่งสวนออกมาจากจุ๋มจิ๋มเสียงละม้ายคล้าย "ตด" ถือเป็นเรื่องปกติ หรือว่าน้องสาวเราหลวมแล้วหว่า"
       คู่รักชาย-หญิงทั้งหลายแหล่อาจจะเคยได้ยินเสียงกระซิบจากช่องคลอด ขณะกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะ เข้าๆ ออกๆ กันบ้างนะคะ หรือภาษาชาวบ้านเรียกกันตามซุ้มเสียงว่า "จิ๋มตด" จากเสียงที่ดัง "ป้าบๆ" กลับกลายเป็นเสียง "ปู้ดป้าด" ซะงั้น
        ผู้หญิงที่ไหนจะไม่อายละ แหม แต่ถึงจะไม่เหม็นแต่ก็เสียบรรยากาศนะ แถมฝ่ายชายบางคนยังหัวร่อตัวงอเป็นกุ้ง หรือบางคนอาจจะคิดว่าเราผ่านศึกหนักจนบานตะไท หลวมโครกครากกันเลยทีเดียว

 เรื่องตดต่างรูนี้สาวๆ หลายคนเขินเกินบรรยาย ไม่รู้จะปรึกษาใคร อดแอบคิดไปเองคนเดียวว่าน้องสาว “หลวม” เราจึงขอนำประเด็นน่าอับอายแทบคลุมปี๊บนี้ไปถาม นพ.กิตติ ตู้จินดา สูติ-นรีแพทย์ แห่งโรงพยาบาลพญาไท 2 โดยท่านอธิบายให้ฟังอย่างเห็นภาพตามหลักการ "ปั๊มลม"ว่า
      "จำง่ายๆ สาเหตุ คือ Suction-Effect แรงดูด ก็คือ ช่องคลอดขยาย ถึงดูดอากาศข้างนอกเข้าไปได้ อากาศจะขึ้นจากที่มีความดันสูง พอมีสเปซ (Space) ช่องคลอดขยาย มันจะดูดอากาศเข้าไป ผสมกับการ Pumping Effect คือ ตอนผู้ชายเอาเข้าเอาออก ก็จะปั๊มอากาศ ดันอากาศเข้าไป
       
       การที่มีลมเข้าไปและลมออกมาในเวลารวดเร็ว จึงทำให้มีเสียง แต่ถ้าลมค่อยๆ ออกมา ก็จะไม่มีเสียงลมมันต้องเข้ามาจากข้างนอกแน่นอน”

       นพ.กิตติขยายความว่า การผายลมทาง "ก้น" กับ "ช่องคลอด" ต่างกันคนละขั้ว
       
       "ศัพท์ทางการแพทย์เค้าเรียกว่า Vaginal Flatulence หรือภาษาทั่วไป Vaginal Fart เพราะ "Fart" แปลว่า ผายลม
       

       แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่เป็นการผายลมนะครับ มันเป็นแอร์ (air-อากาศ) คือ อากาศที่อยู่รอบตัวเรา แต่ถ้าเป็นการผายลมที่ออกมาจากทางก้น จะเป็นแก๊ส (gas) คือ การหมักของเสียจากลำไส้ใหญ่ ส่วนผสมคนละเรื่องเลย อันนี้มีกลิ่น แต่การผายลมที่ออกมาจากช่องคลอดจะไม่มีกลิ่น แต่อาจทำให้เสียบรรยากาศได้"
       
       นพ.กิตติฟันธงบอกว่า ท่ายอดฮิต "Doggy Style" ทำบรรยากาศเสีย "จิ๋มตด" ง่ายสุด
       
       "การที่อากาศเข้าไปในช่องคลอด พบบ่อยคือ ตอนมีเพศสัมพันธ์ จริงๆ ถึงไม่มีเพศสัมพันธ์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น บางรายงานบอกเลยว่าว่า เวลาเล่นโยคะ ก็มีลมออกมาได้ในบางท่า หรือบางคนถีบจักรยานอากาศ คือ นอนหงายและเอาเท้าชี้ฟ้า ก็มีลมออกมาได้เช่นกัน
       
       แต่ลมที่ออกมาจากช่องคลอดนั้น โดยหลักการมันคือ ท่าที่ผู้ชายสอดใส่ เวลามีเพศสัมพันธ์ มันจะเหมือนกับมีการปั๊มอากาศเข้าไป พบว่า บางท่าของการมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดได้ง่ายขึ้น เช่น ท่า Doggy Style ท่าร่วมเพศจากข้างหลัง อาจจะเกิดลมออกมาจากช่องคลอดมากกว่าท่าอื่น แต่จริงๆ ลมออกได้ทุกท่า แต่เหมือนกับว่าท่า Doggy Style ลมจะออกได้ง่ายกว่าทุกท่าเท่านั้นเอง
       
       โดยเฉพาะช่วงเวลาผู้ชายชักอวัยวะเพศออกมาจากช่องคลอดเวลาร่วมเพศ ตอนที่ศีรษะของผู้หญิงอยู่ต่ำกว่าก้นพูดง่ายๆ คือ เวลาโก้งโค้ง ลมจะเข้าเวลานั้น"
       
       หากติดอดติดใจเลี่ยงท่าการร่วมเพศจากข้างหลังไม่ได้ นพ.กิตติแนะผู้หญิงว่า ช่วงเจ้าหนูของผู้ชายชักออกมาจงยกศีรษะขึ้นเสีย ช่องคลอดจะได้ไม่เปิดรับอากาศข้างนอกเข้าสู่ช่องคลอดของเราได้ หมดโอกาสช่องคลอดตดได้พอสมควร
       
       และหากไม่อยากให้จิ๋มตด นพ.กิตติกำชับว่า พยายามปฏิเสธท่าร่วมเพศพิสดารแหกขาอ้าซ่า ให้เปลี่ยนสไตล์เป็นสาวเรียบร้อยด้วยท้วงท่าไม่โลดโผนหุบขา พยายามหนีบๆ ไม่ถ่างมาก
       
       "หากไม่อยากให้มีเสียง ควรอยู่ในท่าที่ close คือ ทำให้ขาหนีบๆ อย่ากว้าง อ้าขามาก เพราะท่ามิดชิด โอกาสที่ลมจะน้อยกว่าท่าอ้าขากว้างๆ"
   เรื่องนี้นพ.กิตติแนะนำให้ฝ่ายหญิงพลิกสถานการณ์อวยผู้ชายว่า "เก่ง" ทำให้มีอารมณ์สุดๆ จนน้ำหล่อลื่นเยอะแยะเฉอะแฉะเป็นที่มาของ "จิ๋มตด"
       
       "เราต้องคุยกับแฟนก่อนให้ผู้ชายเข้าใจ พอเขารู้ว่าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าไม่ได้ผิดปกติอะไร ถ้าคุยกันก็บอกเขาไปว่า เป็นเพราะเรามีอารมณ์ทางเพศมาก จึงทำให้ช่องคลอดขยาย เพราะคุณเก่ง เขาก็จะรู้สึกดี เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ
       
       พวกฝรั่งเค้าก็มีศัพท์เป็นเรื่องเป็นราว มีชื่อว่า Funny Fart หรือบางคนใช้คำว่า Pussy Fart 
       
       การที่ wet (..แฉะ เปียก) มากๆ ก็มีส่วนนะ คือ การที่มีน้ำหล่อลื่นมากทำให้หลุด หลวม และขยาย เพราะเวลาที่ผู้หญิงมีอารมณ์ร่วมทางเพศมากๆ ช่องคลอดจะขยายโดยสรีรวิทยา
       
       จริงๆแล้ว ผู้หญิงตัวเล็ก แต่ผู้ชายอาจจะขนาดใหญ่มากก็ยังมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ผู้หญิงต้องมีอารมณ์ร่วม มีความรู้สึกทางเพศในเวลานั้น โดยสรีระแล้วตัวมดลูกจะถูกยกขึ้นไป ช่องคลอดจะขยาย น้ำหล่อลื่นจะเยอะ โอกาสที่ลมจะเข้าก็เยอะตามไปด้วย
       
       ตามหลักการ ถ้าผู้หญิงไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมทางเพศช่องคลอดจะไม่ขยาย จึงไม่ค่อยเกิดลมออกมาจากช่องคลอด และถ้าไม่มีอารมณ์ทางเพศน้ำหล่อลื่นจะไม่มี ปากช่องคลอดก็จะเจ็บ "
       
       นพ.กิตติย้ำว่า การผายลมทางช่องคลอดไม่ได้เป็นกันทุกคน แต่พบบ่อยสำหรับ ผู้หญิงที่เคยผ่านการคลอดลูกมาแล้ว แถมแนะนำว่า การขมิบอาจช่วยได้
       
       "ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่จะบ่งบอกว่า ช่องคลอดหย่อนคล้อยแล้วมีลม แต่พบว่า คนที่เคยคลอดลูกแล้วพบได้ได้บ่อยกว่า
       
       ส่วนการขมิบนั้น หมอขอใช้คำว่า 'อาจช่วยได้นะครับ' แต่วันหนึ่งอาจจะต้องทำหลายๆ ครั้ง เป็นร้อยขึ้นไป จะช่วยให้กระชับขึ้นได้ แต่หมอว่า..เป็นเรื่องธรรมชาติและปกตินะสำหรับการร่วมเพศที่เวลามีลมออกมาจากช่องคลอด ใครๆ ก็เป็นกันได้ เพราะถ้าช่องคลอดเกิดฟิต (fit-กระชับ) มากๆ ลมก็จะไม่ค่อยเข้า"
       
       เอ้า! สาวเราถ้าไม่อยากให้น้องสาวผายลมเกลื่อนกลาด นอกจากใช้เทคนิคท่าแก้ ตามที่หมอบอกแล้ว อย่าลืมหมั่น exercise น้องสาว ด้วยการขมิบนะคะ แล้วน้องสาวของคุณจะได้เป็นที่รักของน้องชายเขาอย่างแนบแน่นนานๆ *_* 
       
       อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:


อาการผิดปกติยามร่วมเพศ ที่ผู้หญิงไม่กล้าถามหมอ

อาการผิดปกติยามร่วมเพศ ที่ผู้หญิงไม่กล้าถามหมอ ตอน ปัญหาจิ๋มคาวจิ๋มตด...@Bitchy, 
By Lady Manager @Bitchy


สาวบางคนไม่รู้เป็นไรฟูมฟายหรือไม่ก็เกิดอาการซึมเศร้าหลังกินตับกับสามี
       บางนางผ่านสมรภูมิมาไม่น้อย แต่ทำไม๊หลังร่วมเพศทุกครั้ง เลือดยังซึม
       ซึ่งนางทั้งหลายมักไม่กล้าพาตัวเองไปขึ้นขาหยั่ง ปรึกษาหาหมอสูติฯ

       
ไม่เป็นไรค่ะ
       
เราจะตอบ ช่วยคลายความกังวลแก่คุณเอง เพื่อดูว่าพฤติกรรมใดถือว่าปกติ และอาการไหนเข้าขั้นผิดปกติแล้ว คุณต้องไปหาสูตินรีแพทย์ได้แล้วล่ะ อย่ามัวเหนียมอายหรือเขียมเงินค่าตรวจอยู่เล้ย
       ปัญหาจิ๋มคาวจิ๋มตด
      
“ดิฉันรู้สึกว่าอวัยวะเพศของตัวเองมีกลิ่น เป็นกลิ่นคาวๆ เป็นมาหลายปีแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องปกติไหมคะ หรือว่าดิฉันควรกังวลและไปหาหมอ?”
อืม ไม่เสมอไปค่ะ เรื่องกลิ่นแถวอวัยวะเพศหญิงเรานี้อาจเป็นทั้งเรื่องปกติและไม่ปกติ
        
ในกรณีของคุณน่าจะเข้าข่ายว่าเป็น ‘อาการปกติ’ เพราะคุณบอกว่าเป็นมาหลายปีแล้ว ซึ่งคุณก็ไม่มีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย อาทิ คัน แสบ ปวด ฯลฯ สาวเรามักพกจิตใต้สำนึกกังวลเรื่องกลิ่นมากกว่าตัวคุณผู้ชายที่นอนเปลือยกายข้างๆ ซะอีก ที่สำคัญ คุณรู้ไหมว่า กลิ่นคาวๆ บูดๆ นี่แหล่ะตัวเร้ากำหนัดดีนัก
        
ผู้ชายไม่เพียงไม่รังเกียจกลิ่นอวัยวะเพศผู้หญิง แต่ยังรู้สึกถูกดึงดูด เกิดความรู้สึกทางเพศมากยิ่งขึ้นเมื่อได้กลิ่น...
       
ผู้หญิงเราน่ะซิถูกสังคมถูกขนบวัฒนธรรมครอบงำ ว่าต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยสะอาดสะพรั่ง ไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ ถึงจะเป็นสาวสวยมีเสน่ห์ คุณเธอก็ลงทุนซื้อน้ำหอมพรมฉีดเข้าไป โดยหารู้ไม่ว่า เสน่ห์บนเตียงน่ะอยู่ตรงกลิ่นดิบๆ จากหว่างขาหล่อนแหล่ะย่ะ ผู้ชายน่ะเขาไม่ชอบกลิ่นฉุนๆ บนเนื้อนางหรอกนะ
        
แต่หากน้องสาวคุณไม่เคยส่งกลิ่นเลย ต่อมาหลังๆ เอ๊ะ! ทำไมมีกลิ่นอับๆ คาวๆ บูดๆ โชยออกมาจนคุณเองฉงน หรือคุณผู้ชายข้างกายเอะใจถามขึ้นมา กรณีนี้แหล่ะค่ะที่ ‘ผิดปกติ’ คุณต้องไปหาหมอตรวจภายใน เพราะคุณอาจกำลังติดเชื้อ… พาน้องจิ๋มไปรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด่วนเลยค่ะ  

“บางครั้งฉันตดตอนมีเซ็กซ์ มันออกมาเอง ควบคุมไม่ได้เลย สาเหตุคืออะไรคะ คนอื่นเป็นกันหรือเปล่า?”
มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเผลอผายลมขณะร่วมเพศ ทว่า ‘ลม’ ที่ออกมานั้น มาจากช่องคลอด หาใช่ ‘รูทวาร’ นพ.กิตติ ตู้จินดา สูติ-นรีแพทย์ แห่งโรงพยาบาลพญาไท 2 เคยอธิบายผ่านบทความ “จิ๋มตดขณะติ๊ดชึ่ง เรื่องปกติของกามกิจ หรือเครื่องหลวม!?!” ตามหลักการ ‘ปั๊มลม’ ว่า
        
"สาเหตุ คือ Suction-Effect แรงดูด ก็คือ ช่องคลอดขยาย ถึงดูดอากาศข้างนอกเข้าไปได้ อากาศจะขึ้นจากที่มีความดันสูง พอมีสเปซ (space) ช่องคลอดขยาย มันจะดูดอากาศเข้าไป ผสมกับการ Pumping Effect คือ ตอนผู้ชายเอาเข้าเอาออก ก็จะปั๊มอากาศ ดันอากาศเข้าไป
       
การที่มีลมเข้าไปและลมออกมาในเวลารวดเร็ว จึงทำให้มีเสียง แต่ถ้าลมค่อยๆ ออกมา ก็จะไม่มีเสียงลมมันต้องเข้ามาจากข้างนอกแน่นอน”
        
นพ.กิตติขยายความว่า การผายลมทาง ‘ก้น’ กับ ‘ช่องคลอด’ ต่างกันคนละขั้ว
        
"ศัพท์ทางการแพทย์เค้าเรียกว่า Vaginal Flatulence หรือภาษาทั่วไป Vaginal Fart เพราะ Fart แปลว่า ผายลม
       
แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่เป็นการผายลมนะครับ มันเป็นแอร์ (air-อากาศ) คือ อากาศที่อยู่รอบตัวเรา แต่ถ้าเป็นการผายลมที่ออกมาจากทางก้น จะเป็นแก๊ส (gas) คือ การหมักของเสียจากลำไส้ใหญ่ ส่วนผสมคนละเรื่องเลย อันนี้มีกลิ่น แต่การผายลมที่ออกมาจากช่องคลอดจะไม่มีกลิ่น แต่อาจทำให้เสียบรรยากาศได้"
        
ค่ะ ประเด็นนี้จึงถือเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้ท่ายอดฮิต Doggy Style ซึ่งหากไม่อยากได้ยินเสียงจิ๋มตด เสียบรรยากาศ! นพ.กิตติแนะให้ใช้ท่าร่วมรักที่แนบชิดติดกัน ไม่ต้องอ้าขากว้างมากนัก โอกาสลมออกก็จะน้อยลง




       “การที่ wet (..แฉะ เปียก) มากๆ ก็มีส่วนนะ คือ การที่มีน้ำหล่อลื่นมากทำให้หลุด หลวม และขยาย เพราะเวลาที่ผู้หญิงมีอารมณ์ร่วมทางเพศมากๆ ช่องคลอดจะขยายโดยสรีระวิทยา
        ตามหลักการ ถ้าผู้หญิงไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมทางเพศช่องคลอดจะไม่ขยาย จึงไม่ค่อยเกิดลมออกมาจากช่องคลอด และถ้าไม่มีอารมณ์ทางเพศน้ำหล่อลื่นจะไม่มี ปากช่องคลอดก็จะเจ็บ’’
       นพ.กิตติยังย้ำด้วยว่า การผายลมทางช่องคลอดไม่ได้เป็นกันทุกคน แต่พบบ่อยสำหรับ ผู้หญิงที่เคยผ่านการคลอดลูกมาแล้ว
       "เป็นเรื่องธรรมชาติและปกตินะสำหรับการร่วมเพศที่เวลามีลมออกมาจากช่องคลอด ใครๆ ก็เป็นกันได้ เพราะถ้าช่องคลอดเกิดฟิต (fit-กระชับ) มากๆ ลมก็จะไม่ค่อยเข้า"
       การขมิบสามารถช่วยให้ช่องคลอดของคุณกระชับขึ้นค่ะ แต่ต้องขยันขมิบให้ได้วันละร้อยครั้งนะคะ ถึงเอาอยู่!
      อ่านเพิ่มเติม ขยัน“ขมิบ” แล้วชีวิตรักจะ“กระชับ”ขึ้น 
 อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
       
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th





























เตือน เกลือสปาผสมยาไอซ์ ไม่ช่วยผิวขาวอมชมพู

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

สบส.ยังมึน รอตรวจสอบก่อน “เกลือสปาผสมยาไอซ์” มีจริงหรือไม่ ขู่สปาร้านใดนำมาใช้เตรียมเข้าซังเตได้เลย เตือนคนอยากสวย ใช้แล้วอันตรายเสี่ยงดูดซึมเข้าร่างกาย แถมไม่ช่วยให้ผิวขาวอมชมพู พร้อมเร่งออก พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ คุมสปาทั่วประเทศ ยุติการแฝงขายบริการทางเพศ


   นพ.สมชัย ภิญโญพรพานิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวมีร้านสปานำเกลือสปาผสมยาไอซ์มาให้บริการแก่ประชาชน ว่า สบส.เพิ่งได้ข่าวมาเช่นกัน และกำลังเร่งตรวจสอบร่วมกับทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ แต่จะมีจริงหรือไม่นั้นยังไม่แน่ใจ และไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่หากสถานบริการใดนำเกลือสปาผสมยาไอซ์มาให้บริการถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย เพราะเข้าข่ายเป็นกระบวนการค้ายาเสพติด
       
       นพ.สมชัย กล่าวอีกว่า ความเชื่อที่ว่า ยาไอซ์ช่วยให้ผิวสวยและผิวขาวอมชมพูนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดแน่นอน เพราะไม่มีผลทางการแพทย์ใดๆที่ระบุว่า ยาไอซ์ช่วยให้ผิวสวย ผิวขาว และหากร่างกายของผู้ใช้บริการมีแผลแล้วมาใช้บริการเกลือสปาผสมยาไอซ์ก็เสี่ยงต่อการดูดซึมสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย
       
       นพ.สมชัย กล่าวต่อไปว่า สบส.กำลังเร่งออก พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อควบคุมร้านสปาให้ได้มาตรฐานเดียวกัน และควบคุมการแฝงค้าบริการทางเพศ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกา หาก พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวประกาศใช้เมื่อใด สปาทุกแห่งทั่วประเทศต้องมาขึ้นทะเบียนกับ สบส. หากไม่มาขึ้นทะเบียนจะถือเป็นสปาเถื่อน แต่ระหว่างนี้ยังถือว่าเป็นธุรกิจบริการและอยู่ในความควบคุมของกระทรวงมหาดไทยอยู่ โดยทาง สบส.จะเข้าไปดูแลในเรื่องมาตรฐานด้านอาคารสถานที่ ความปลอดภัย และผู้ดำเนินการ ที่ต้องผ่านการอบรมและมีใบประกาศนียบัตรที่มีหลักสูตรของ สบส.รับรอง หากผ่านมาตรฐานของ สบส.ทั้งหมดจะมีการมอบโลโก้ของกรมให้แก่ร้านดังกล่าวว่าได้มาตรฐานของ สบส...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

4 ทิปส์ง่ายๆ ที่จะทำให้คุณแสนสดชื่นตอนเช้า

By Lady Manager



เพราะในแต่ละวัน คุณต้องทำงานหนักกายเหนื่อยสมอง ช่วงเวลานอน คงเป็นเวลาที่คุณๆ รอคอย ทว่าเมื่อหลับพักผ่อนไปแล้ว 6-8 ชั่วโมง หลายคนตื่นเช้าขึ้นมาก็ยัง งัวเงีย อ่อนระโหยโรยแรง พาลให้ทั้งวันหงุดหงิด งุนงงไปหมด
        หากคุณกำลังมองหาวิธีที่จะทำให้ตื่นนอนยามเช้าแล้วสดใส สลัดความง่วงได้เป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะก็ ...เรามีทิปส์ดีๆ มาฝากกัน ^^


ทิปส์1 : ลดกิจกรรมยามเย็น
       
       “หากคุณต้องการจะเป็นคนตื่นเช้า คุณจำเป็นต้องลดความสำคัญของช่วงเย็นลงบ้าง” ดร.Tracy Marks จิตแพทย์และนักเขียนผู้เชี่ยวชาญในการเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพการนอนกล่าว พร้อมแนะนำว่า หากคุณอยากจะตื่นเช้ามาอย่างสดชื่น คุณก็ต้องพยายามบังคับตัวเอง ไม่ให้เพลิดเพลินทำงาน, ดูหนัง, ฟังเพลง ในยามดึกมากเกินไป ให้ท่องไว้เสมอว่า เก็บสิ่งต่างๆ ไว้ทำยามเช้าดีกว่า
       
       ดังนั้นถ้าอยากตื่นเช้ามาอย่างสดชื่น ลองปรับเปลี่ยนกิจกรรมบางอย่างของตัวเอง เก็บไว้ทำยามเช้าซะบ้าง เช่น จากที่เคยชินกับการอ่านหนังสือดึกๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ แล้วตื่นเช้ามาอ่านหนังสือรับอรุณแทนจะดีกว่า 



ทิปส์2 : ให้รางวัลตัวเองยามเช้า
       
       แม้ทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ จะเป็นช่วงเวลาที่แสนรีบเร่ง แต่หากคุณสละเวลายามเช้า ให้รางวัลกับตัวเองสักนิด ช่วงเวลาอันแสนยุ่งเหยิง อาจกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์ และสร้างพลังใจคุณได้ทั้งวัน!
       
       รางวัลที่มอบแก่ตัวเอง อาจไม่ต้องมากมายใหญ่โต คุณอาจทำแค่เพียงยอมตื่นเช้าขึ้นอีกสักนิด เผื่อเวลาเอาไว้ให้คุณได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ในคอลัมน์ซุบซิบดาราที่คุณโปรดปราน, อ่านนิตยสารเล่มโปรด, ฟังข่าว, ฟังเพลง, ออกกำลังกาย, นั่งสมาธิ หรือแม้แต่นั่งชิลล์จิบกาแฟสักถ้วย โดยไม่ต้องรีบดื่มแล้ววิ่งออกไปทำงาน
       
       แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่หากมันคือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เท่านี้ก็ถือเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง เพิ่มพลังให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส เปี่ยมพลังมากกว่าเคยแล้วล่ะ 



ทิปส์3 : กระตุ้นตัวเอง...ให้ตื่นตัว
       
       อีกวิธีที่ทำได้ง่ายๆ แต่ต้องอาศัยความเข้มแข็งจากจิตใจตัวเอง นั่นคือ เมื่อยามนาฬิกาปลุกดัง คุณอาจง่วงงัวเงีย อยากจะรีบเอามือกดปิดเสียง นึกขอเวลานอนต่ออีกสัก 5 นาที
       
       ทว่าจากนี้ จงข่มใจแล้วบอกกับตัวเองว่า “ต้องตื่น” พร้อมคิดเอาไว้เสมอว่าในเช้าวันนี้มีสิ่งใดที่คุณต้องทำต้องสะสางอยู่บ้าง
       
       ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นให้สมอง ตื่นตัวตั้งแต่เช้า เชื่อเถอะว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หากคุณมีจิตใจที่แน่วแน่ ปลุกกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตัวได้ วันทั้งวันก็จะสดใส ดีได้อย่างใจคุณ


ทิปส์4 : ออกกำลังกายยามเช้า
       
       การออกกำลังกาย นอกจากช่วยให้คุณมีสุขภาพดีแล้ว สารอะดรีนาลีน (Adrenaline) ที่ร่างกายหลั่งออกมาจากการออกกำลังกายยังทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวอีกด้วย
       
       “การออกกำลังกายในตอนเช้าจะช่วยเพิ่มพลังงานให้กับคุณ คุณจะมีอุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้น และสารอะดรีนาลีน ก็จะมีระดับเพิ่มขึ้นหลังจากการออกกำลังกาย” ดร.Marks กล่าว
       
       นอกจากนี้ ยังมีผลการวิจัยยืนยันว่า การออกกำลังกายก่อนรับประทานอาหารเช้า ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น และทำให้น้ำหนักลดลงได้มากกว่า การออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารเช้าด้วย
       
       ดังนั้นการออกกำลังกายก่อนรับประทานอาหารเช้านี่แหละ วิธีง่ายๆ ที่ให้ประโยชน์หลากหลาย ทำให้ร่างกายตื่นตัวไปทั้งวัน, รักษาหุ่นให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม แถมลดความอ้วนได้ดีอีกต่างหาก


       เรียบเรียงจากนิตยสารเรียลซิมเปิ้ล
     
       >> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: 
www.manager.co.th :28 พฤษภาคม 2555 09:09 น.