This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อย่าอิจฉาแม่ฟูลไทม์ สำรวจพบเครียด-โกรธ มากกว่าแม่ทำงาน




ครอบครัวไหนแอบอิจฉาคุณแม่ที่ได้เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านอยู่ยกมือขึ้น วันนี้เราจะมาบอกว่า อย่าอิจฉากันเลยค่ะ เพราะว่าในความโชคดีที่ได้เป็นคนเลี้ยงลูกเองอยู่กับบ้านนั้น ก็มีเรื่องให้เครียดมากมาย ไม่แพ้คุณแม่ที่ไปทำงานหรอกค่ะ
       ข้อมูลที่เรานำมาฝากนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาคุณแม่ในสหรัฐอเมริกา ที่มีอายุระหว่าง 18-64 ปี ทางโทรศัพท์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2012 ที่ผ่านมา โดยพบว่า บรรดาคุณแม่ฟูลไทม์นั้น มีโอกาสเกิดอารมณ์ในเชิงลบเกิดได้มากเช่นกัน ซึ่งอาจจะเทียบเท่า หรือมากกว่าคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำก็เป็นได้ค่ะ
       ทั้งนี้ จากผู้ร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 60,799 ราย มี 41 เปอร์เซ็นต์ของคุณแม่ฟูลไทม์ ที่ระบุว่า ตนเองเป็นคนช่างวิตกกังวล ในขณะที่บรรดาคุณแม่ทำงานกลับมีคนรู้สึกเช่นนี้ราว 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนั้น คุณแม่ฟูลไทม์ ยังมีโอกาสอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าคุณแม่ที่ทำงานประจำอีกด้วย เพราะมีถึง 28 เปอร์เซ็นต์ของแม่ฟูลไทม์ ตอบว่า ตนเองเคยเกิดภาวะซึมเศร้า ในขณะที่แม่ทำงานมีเพียง 17 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
       นอกจากอารมณ์ซึมเศร้า และความวิตกกังวลแล้ว ความเครียด และอารมณ์โกรธก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลสำรวจชี้ว่าแม่ฟูลไทม์มีสูงกว่าแม่ทำงานด้วย
        สาเหตุของการเกิดอารมณ์ในแง่ลบมาจากการต้องเลี้ยงลูกอยู่เพียงลำพัง ทำให้คุณแม่ฟูลไทม์มีโอกาสพูดน้อยลง ยิ้มน้อยลง ยิ่งหัวเราะดังๆ แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่พวกเธอจะได้รู้สึกถึงความสุข ความร่าเริง นั้นห่างไกลออกไปทุกทีนั่นเอง


        ต่อด้วยคำถามถึงความรู้สึกในแง่บวกกับตัวเอง แม่ทำงาน 91 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่า ตนเองเคยรู้สึกมีความสุข ส่วนแม่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านยอมรับในข้อนี้น้อยกว่าอยู่ที่ 86 เปอร์เซ็นต์
       ดร.Robi Ludwig นักจิตวิทยาชื่อดังในนิวยอร์ก เผยว่า “การอยู่โดดเดี่ยว คือ สัญญาณอันตราย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่มนุษย์แยกตัวอยู่คนเดียว จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่ดีให้กับตัวเอง มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ถูกใจ หรืออาจกล่าวได้ว่า การอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นจะทำให้ผู้คนมองโลกในแง่ลบ และอาจเกิดการทำร้ายตัวเองได้”
        นั่นจึงเป็นเหตุผลสำหรับที่ทำให้แม่ฟูลไทม์อาจเกิดความรู้สึกในแง่ลบนี้ได้โดยง่าย เมื่ออะไรๆ ในบ้านก็ต้องแบกอยู่บนบ่าของเธอแต่เพียงลำพัง ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงานบ้าน การดูแลเรื่องอาหารให้กับคนในครอบครัว แถมทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จเสียด้วย
       
       เรียบเรียงจากเดลิเมล

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:                                                                 
www.manager.co.th :24 พฤษภาคม 2555 17:05 น.
ภาพประกอบจาก Internet

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5 ความลับที่ต้องเปลือยให้คนรักรู้Bitchy

By Lady Manager @Bitchy

 แสร้งมีความสุขในเรื่องบนเตียง เป็นหลายๆ ปี หนี้สินท่วมตัว บาดแผลทางใจในวัยเยาว์ ถึงเวลาที่จะบอกความลับของตัวเองให้แฟนรู้บ้างอะไรบ้างแล้วหรือยัง
       ความลับที่เก็บงำมานานทั้งชีวิต เปลือยใจให้คนรักที่จะต้องอยู่กินับเขาทั้งชีวิตล่วงรู้ไว้ซะ เพราะมันไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเป็นความลับอีกต่อไป!
ความลับแรก
       ->หนี้ท่วมหัว
       โดนหวยกิน เล่นการพนัน ถ้าคุณมีหนี้สินรุงรัง หรือเป็นหนี้ท่วมหัว แต่เก็บความลับไว้แต่เพียงผู้เดียว แน่นอนทุกคนมีเหตุผลที่จะไม่บอก อาจเพราะกลัวโดนสามีด่า ซึ่งกลัวว่าสามีคุณจะรู้
       แต่หากเขารู้ขึ้นมาวันใด มันก็เป็นเรื่องใหญ่มากกว่าที่คิด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของความไว้วางใจมากกว่า
     ความลับสอง
       ->ความสัมพันธ์เริ่มสั่นคลอน
        คนส่วนใหญ่ที่โดนนอกใจในตอนแรก มักเริ่มรู้สึกถึงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน มักรู้สึกเหมือนพวกเขามีเหตุผลที่ดีพอ แต่คุณไม่อาจคิดเอาเองได้ว่า คู่ของคุณรู้ว่าคุณกำลังรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งหรือเบื่อหน่าย หัวใจสำคัญก็คือ การนำเอาความรู้สึกอย่างเช่นความเบื่อหน่ายหรือความขุ่นข้องหมองใจขึ้นมาพูดกันก่อนที่จะเกิดความเสียหาย ถ้าคุณรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่า ชีวิตคู่ของคุณอาจตกอยู่ในอันตราย พูดออกมาให้เร็วที่สุด ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
           ความลับสาม
       ->แสร้งถึงจุดสุดยอด
         การแกล้งว่าถึงจุดสุดยอดเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรเก็บเป็นความลับ เพราะไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของสามี แต่การละเลยความปรารถนาในเรื่องเพศของตัวเอง อาจนำไปสู่ความขุ่นข้องหมองใจอย่างใหญ่หลวง ซึ่งการพูดเรื่องนี้ออกมาจะทำให้ความหนักอกหายไป และสามารถหาทางแก้ไขกันต่อไปได้ด้วยเทคนิคดีๆ ไม่ต้องกลัวสามีหมดความมั่นใจ แต่เขาจะได้ปรับปรุงท่าทาง คุณจะได้สุขสมอารมณ์หมายไปพร้อมๆกับเขาด้วยไงล่ะ
ความลับสี่
       ->โรครุมเร้า
        ถึงแม้ร่างกายของคุณจะเป็นของคุณคนเดียว แต่คุณต้องเข้าใจว่าเมื่อคุณแต่งงาน สุขภาพของคุณจะส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัวได้ และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าสุขภาพคุณเป็นยังไง ไม่เพียงเพื่อป้องกันตัวเอง แต่เพื่อที่จะช่วยคุณได้ด้วย
  ความลับสุดท้าย
       ->อดีตอันแสนเจ็บปวด
     ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กหรือวัยเรียน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราในทันทีที่มันเกิดขึ้น ประสบการณ์อันเลวร้ายก็มักมีแรงสะเทือนที่ตามมาเสมอ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องทางเพศ มันก็มักจะส่งผลต่อสัมพันธภาพของคุณในปัจจุบันได้เสมอ
       บ่อยครั้งที่สิ่งที่ทำให้คนเราเก็บความลับไว้ก็คือความกลัว คนที่ซ่อนข้อมูลต่างๆ ของตัวเองจากคู่ครอง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะตัดสินหรือรักเธอน้อยลง แต่การเก็บเรื่องต่างๆ ไว้จากคู่ของตัวทำให้เกิดความเครียด และอาจลงเอยด้วยการทำให้ห่างเหินกัน เพราะคุณจะปิดตัวเองจากเขาในที่สุด การเปิดเผยและให้เขาได้เห็นบาดแผลของคุณอาจน่ากลัว แต่คุณก็จะได้ประโยชน์จากมันเช่นกัน
ทุกวันนี้ไม่ว่าไปทางไหน ก็จะมีแต่คนนำบัตรเครดิตขึ้นมาใช้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า หากเราขาดวินัยในการใช้ ในอนาคต คุณอาจจะต้องลำบากก็ได้
1.ใช้บัตรเครดิตเมื่อจำเป็นเท่านั้น 
การใช้บัตรเครดิต เป็นการใช้เงินในอนาคต ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรเลือกใช้เงินสดแทนบัตรเครดิต นอกเสียจากกรณีฉุกเฉิน เวลาที่คุณไม่มีเงินสดติดตัว บัตรเครดิตอาจจะช่วยกู้หน้าคุณได้
2.นึกถึงตอนชำระหนี้เอาไว้
ลองนึกถึงความสามารถของคุณ เมื่อชำระหนี้ของแต่ละเดือน แม้จะมียอดในการผ่อนส่งบัตรเครดิตแต่ละเดือนเพียง 10% ของยอดที่รูดไป แต่อย่าลืมว่าทางธนาคาร เค้าบวกเพิ่มดอกเบี้ยเอาไว้แล้ว
3.เลือกวันรูดบัตรให้เหมาะสม
ถ้ามีบัตรเครดิตติดตัว คุณควรจะจำวันตัดยอดของบัตรเครดิตให้ได้ และถ้าจะให้เวริ์คสุดๆ คือใช้จ่ายบัตรเครดิต หลังจากวันที่ธนาคารได้ตัดยอดไปแล้ว เพราะฉะนั้น ยอดที่คุณเพิ่งจะรูดไป บิลก็จะมาเรียกเก็บในเดือนถัดไปนั่นเอง
4.รูดเมื่อผ่อน 0%
ยุคนี้ บัตรเครดิตของแต่ละธนาคารจะมีโปรโมชั่นผ่อน 0% ถือเป็นโอกาสทองสำหรับคนที่อยากได้ของชิ้นใหญ่ แต่ผ่อนไม่เสียดอกเบี้ย
5.สะสมคะแนนแลกของรางวัล
ให้ของขวัญตัวเองสำหรับการใช้จ่าย เพราะทุกครั้งที่คุณได้รูดบัตรเครดิต คุณก็จะได้แต้ม ลองคำนวณแต้มแล้วเอามาแลกของสมนาคุณ เช่นแก้วน้ำ กาน้ำร้อน อย่างน้อยก็น่าจะช่วยให้ประหยัดงบในการซื้อของพวกนี้ก็ได้

6.อย่าลืมว่าบัตรเครดิตมีข้อเสีย

ท่องเอาไว้ ว่าบัตรเครดิตมีข้อเสีย จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนกำหนด ถ้าหากใช้เมื่อจำเป็น รับรองว่ากระเป๋าเงินของคุณไม่ฉีกอย่างแน่นอน

อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net


 ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
 www.manager.co.th
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต




ใช้ธรรมชาติบำบัดพัฒนาคุณภาพชีวิต (Naturopathy)...ดร.แพง ชินพงศ์

ธรรมชาติบำบัด หมายถึงการดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตโดยอาศัยกระบวนการตามธรรมชาติให้มีความสมดุลของการพักผ่อน การออกกำลังกาย และการกินอาหาร โดยที่ไม่ใช้ยาและสารเคมีในการบำบัดรักษา

        Mr.Jacob Vadakkanchary คุณหมอชาวอินเดีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด ได้กล่าวว่า โรคทุกชนิดที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของคนเรา สามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้ หรือแม้แต่โรคมะเร็ง ขอเพียงแค่ไม่ปล่อยให้ชีวิตของเราต้องมีแต่ความวิตกกังวล หรือความเครียดมากเกินไป รวมถึงการไม่ออกกำลังกาย หรือการพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอ หรือการกินอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน ซึ่งหากเราใช้ชีวิตแบบปล่อยปละละเลยไม่ระมัดระวังเช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดผลเสีย และเกิดโรคร้ายต่างๆ ต่อร่างกายของเรา ดังนั้น การจะมีสุขภาพกายและใจที่ดีได้นั้นจึงต้องประกอบด้วยการมีสมดุลของการพักผ่อน การออกกำลังกายและการกิน ดังนี้
              การพักผ่อน หมายถึง การพักผ่อนร่างกายและการพักผ่อนจิตใจ ได้แก่
           - การพักผ่อนร่างกาย การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับ โดยทั่วไปร่างกายของคนเราต้องการการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมง ขณะนอนหลับนั้น ร่างกายและสมองจะมีการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ เมื่อตื่นมาเราจึงรู้สึกสดชื่น มีเรี่ยวแรงกำลังในการดำเนินชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้น คนที่มีปัญหาในการนอนไม่หลับ หรือนอนน้อยจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย สมองล้า ไม่ค่อยมีสมาธิ ผิวพรรณไม่มีน้ำมีนวล บางคนอาจเกิดปัญหาสิวด้วย แต่ที่น่ากลัว คือ จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคภัยต่างๆ ตามมาได้อย่างมากมาย
          - การพักผ่อนจิตใจ คือ การทำจิตใจให้สงบ ผ่อนคลาย ละความเครียดและความวิตกกังวลต่างๆ ลง การพักผ่อนจิตใจทำได้ไม่ยาก เช่น
          การพักผ่อนอยู่กับบ้าน พยายามอย่าเอาการงานที่ทำอยู่มาทำให้รกสมอง เช่น ไม่รับโทรศัพท์เรื่องงาน หรือหากิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบมีความสุขทำ ไม่ว่าจะเป็นการนอนอ่านหนังสือเรื่องโปรด ฟังเพลงที่ชอบ ดูหนังที่อยากดู หรือการทำงานอดิเรกที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำ เช่น จัดสวน เย็บปักถักร้อย ทำงานศิลปะ ก็เป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองได้อย่างง่ายๆ แล้ว
     การท่องเที่ยว การไปท่องเที่ยวยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ธรรมชาติ เช่น ทะเล ภูเขา ไร่สวน สวนสาธารณะ จะทำให้จิตใจสบาย ผ่อนคลายความเครียดได้ดี หรือการไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยไปพบเห็น เช่น ที่ที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แปลกตา ก็จะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น และมีความสุขกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับ
       การออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้จิตใจสดชื่น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และทำให้กล้ามเนื้อเข็งแรงแล้ว ยังช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือด หัวใจ ปอดและระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
       การออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายๆ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นรำ แอโรบิก เล่นกีฬา ซึ่งตามปกติแล้วเราควรใช้เวลาในการออกกำลังกาย ครั้งละประมาณ 30- 45 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง
         การกิน ตามหลักของธรรมชาติบำบัด เน้นการกินพืชผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ที่ปลอดสารเคมี รวมถึงการดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และควรกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และให้มีสารอาหารครบ 5 หมู่

ตัวอย่างของอาหารที่กินแล้วจะช่วยทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ได้แก่ 
         อาหารต้านหวัด คือ อาหารที่มีวิตามินซี เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มคอลลาเจนและคาร์นีทีน ซึ่งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และทำให้ระบบการทำงานของสมองดีขึ้น อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ กีวี มะม่วง คะน้า กะหล่ำดอก ตำลึง กระเทียม
        อาหารต้านโรคกระเพาะ โรคกระเพาะเป็นโรคสามัญอีกโรคหนึ่งที่เกิดได้ง่ายกับคนทุกเพศทุกวัย เมื่อเป็นแล้วก็จะรบกวนการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะจะมีอาการปวดท้อง แน่น จุก เสียด ถ้าเป็นหนักและรักษาไม่ดี อาจกลายเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารก็ได้ด้วย
       ดังนั้น การป้องการจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราห่างไกลจากโรคนี้ การกินอาหารที่ทำจากเนื้อปลา ช่วยในการต้านโรคกระเพาะได้อย่างมาก เพราะเนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และช่วยให้ผนังกระเพาะอาหารดูดซึมได้เร็วขึ้น จึงใช้เวลาย่อยไม่นาน ทำให้ไม่มีอาหารตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ซึ่งหากมีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมาก ก็อาจเป็นโรคได้ง่าย นอกจากนี้ ในเนื้อปลายังมีกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
        การกินผักใบเขียวและผักที่มีสีเหลือง หรือส้ม และผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง เช่น แอปเปิล มะละกอ ฟักทอง แครอท หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาด ช่วยป้องกันเลือดออกในกระเพาะ และช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีด้วย นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพราะน้ำช่วยให้กรดในกระเพาะอาหารที่มีความเข้มสูงเจือจางลงได้
        อาหารต้านเบาหวาน ควรกินอาหารที่มีเส้นใย เช่น ผัก ธัญพืช เต้าหู้ และพยายามงดอาหารจำพวกแป้งด้วย นอกจากนั้น ควรกินมะระ เพราะมะระมีสารชื่อ polypeptide-p ซึ่งช่วยลดการดูดซึมของกลูโคส กินผักบุ้ง ซึ่งมีสารคล้ายอินซูลินสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้และยังช่วยลดการท้องผูกได้ด้วย
        อาหารต้านมะเร็ง ควรกินธัญพืช ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลีและลูกเดือย นำมาปรุงเป็นอาหารแบบชีวจิตรับประทาน ดื่มชาเขียว เพราะชาเขียวประกอบด้วย คาเทชิน ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดมะเร็ง และยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ และกินปลาทะเลอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน เพราะปลาเหล่านี้มีไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างดี
      หลักของธรรมชาติบำบัด คือ การมุ่งเน้นให้เราดูแลรักษาตัวเองโดยใช้หลักธรรมชาติในการพักผ่อนร่างกายและจิตใจอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ปลอดสารเคมีและรับประทานพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพราะถ้าเราทำดังนี้ได้เป็นประจำ ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราโดยตรง คือ เราจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอน...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
khaoyailandd.blogspot.com/2011/07/blog-post.html



นวดกะปู๋ สวรรค์ต้องห้าม


   ยุคสมัยเปลี่ยนผ่านธุรกิจบริการทางเพศก็ปรับเปลี่ยนแปลงโฉม จากโคมเขียวอันเลื่องลือในอดีต ผันผ่านอาบ อบ นวดที่เคยเฟื้องฟูจนถึงปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานบริการทางเพศยอมนิยมในช่วง4-5ปีมานี้ที่ได้ผลิดอกออกสาขาขึ้นแทบจะทุกหัวระแหงก็คือ 'นวดกะปู๋'
       จากตำรับตำราโบราณของศาสตร์การนวดกษัยจนถึงนวดกะปู๋ ดูเหมือนบริการทางเพศจะมีสีสัน เร้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นของลิ้มลองใหม่ๆของชายนักเที้ยว
       
       ต้นตำรับการนวด
       นวดกะปู๋ มีความคล้ายคลึงกับศาสตร์ การนวดกษัยหรือจับกษัยเป็นการนวดแผนไทยประเภทหนึ่งที่จะทำการนวดบริเวณลูกอัณฑะ และโดยรอบเพื่อให้การไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น ช่วยในเรื่องการทำงานของไต และยังบรรเทาอาการปวดเอวปวดหลัง รวมไปถึงการทำงานของอวัยวะเพศและน้ำอสุจิ
       การนวดแบบนี้ก็เคยมีให้บริการกันอยู่ โดยร้านที่มีชื่อเสียงคือ 'นะคะ' หรือมีชื่อเก่าว่า 'ฟิตอัพ' ซึ่งมีอยู่หลายสาขา มีขั้นตอนการนวดเริ่มตั้งแต่การประคบร้อน นวดผ่อนคลาย จากนั้นหมอนวดก็จะเอาน้ำมันชโลมที่อวัยวะเพศแล้วนวด ซึ่งจะนวดอยู่นานพอสมควร เป้าหมายของการนวดคือ การฝึกและสร้างความอึด เพื่อให้ผู้ใช้บริการไม่หลั่งเร็ว
       นวดกษัย จะเน้นหน้าตาของหมอนวดที่จะไม่สวยมากนัก แต่วิธีการนวดแบบนี้ก็เป็นที่เชื่อกันว่าช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ และเป็นที่นิยมในหมู่นักเที่ยวที่ชอบเสน่ห์เฉพาะตัวของการนวดแบบนี้
        มาถึงปัจจุบัน การนวดกษัยมีเหลือให้บริการอยู่น้อยมากแล้วเพราะการนวดแบบนี้จำเป็นต้องใช้เวลา และความชำนาญของผู้นวด ซึ่งโดยมากจะเป็นหมอนวดที่เคยทำงานอยู่ที่ร้านต้นตำรับเก่าแล้วมาเปิดเองเป็นรายเล็กๆ
       มาสู่ยุคนวดกะปู๋
      ถึงตอนนี้ที่การนวดกษัยปิดตัวลงมากมาย และถูกแทนที่ด้วยการเปิดตัวอันมากล้นของสถานบริการที่เรียกอย่างอ้อมๆว่า 'พริตตี้สปา' แต่รู้กันในนักเที่ยวว่า 'นวดกะปู๋' มีมากมายหลายสาขา ซึ่งมีการโปรโมทผ่านเว็บไซค์ และแปะลิงค์ตามเว็บบันเทิงต่างๆ
    จุดเด่นของบริการนวดกะปู๋ก็คือ หมอนวดหรือที่เรียกกันว่า 'น้องๆ' หรือ “พริตตี้” จะหน้าตาดี หุ่นดี ผิวขาวในระดับว่ากันว่า เทียบเท่ากับพริตตี้หรือเป็นพริตตี้มารับงานเองเลยก็มี ยังมีถึงระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยดัง หรือนักเรียนมัธยมก็มีที่มาหารายได้พิเศษ
    โดยปกติแล้วสถานบริการพวกนี้จะเปิด-ปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงตี4 แต่ตอนนี้ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้น ความต้องการในท้องตลาดที่มากขนาดว่านักเที่ยวต้องโทร.จองคิว ทำให้หลายร้านมีการขยายเวลาไปถึง 6 โมงเช้า
   นอกจากนี้ยังมีเว็บบอร์ดที่รวมตัวของเหล่านักเที่ยว สำหรับประชาสัมพันธ์โปรโมชั่น แจ้งความเคลื่อนไหวของน้องๆในวงการ รวมไปถึงการตั้งกระทู้เพื่อแบ่งปันประสบการณ์โดยจะเรียกว่า 'ส่งการบ้าน' ซึ่งจะทำให้ได้ส่วนลดพิเศษในการใช้บริการอีกด้วย และการบ้านเหล่านี้เองก็จะถูกเรียกอีกทีว่า 'ลายแทง' เพื่อให้นักเที่ยวคนอื่นตามรอยไปหาน้องๆ ตามคำร่ำลือ โดยจะระบุเป็นรหัสหรือสถานบริการที่น้องๆทำงานอยู่
    โดยย่านชุมทางนวดกะปู๋นั้นจะมีหลายโซนตั้งแต่พระราม2 -ปิ่นเกล้า,ลาดพร้าว-รัชดา ,บางนา-ศรีนครินทร์,พระราม 9 -รามคำแหง และเรียบทางด่วนรามอินทรา ในส่วนของราคานั้นจะแบ่งตามหน้าตาหรือระดับของน้องๆ แบ่งเป็น เอส กับ เอ็มที่อาจจะสวยกว่าและราคาแพงกว่า นอกจากนี้ยังมีราคาค่าบริการซึ่งจะจัดเป็น 3 ระดับด้วยกัน
    ระดับ 1 นั้นคือการใช้มืออย่างเดียวราคา 700-1200บาท ระดับ 2 เรียกว่าถอดบนคือผู้บริการจะถอดเสื้อผ้าแล้วใช้ปากช่วย บวกราคาเพิ่มอีก500-700 ส่วนระดับ 3 คือการมีเพศสัมพันธ์กันโดยค่าตัวที่บวกเพิ่มจะสูงมากตั้งแต่ 2000 บาทขึ้นไป ซึ่งตรงนี้อยู่ที่การตัดสินใจของผู้ให้บริการด้วยว่าจะยินยอมหรือไม่ โดยราคาอาจสูงไปถึงหลักหมื่น ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอยู่ที่การต่อรองหรือคารมของนักเที่ยว
       นักเที่ยวต้องลุ้น
      นักเที่ยวบริการประเภทนี้จะเป็นกลุ่มชายวัยกลางคนไปจนถึงนักศึกษา ด้วยราคาที่มีหลายระดับ และไม่มีความสัมพันธ์แบบสอดใส่ รวมถึงหญิงที่มาให้บริการมีหน้าตาสวย และอายุน้อย นัท(ไม่ประสงค์ออกนาม) นักศึกษาจบใหม่ที่มีประสบการณ์เที่ยวนวดกะปู๋ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเขาเล่าว่าเคยไปใช้บริการอาบ อบ นวดจากที่รุ่นพี่แนะนำเนื่องจากได้รับงานพิเศษระหว่างเรียน หลังจากจบงานจึงมีการฉลองกันบ้าง
     “เวลาผมไปใช้บริการพวกนี้ อย่างแรกก็คือต้องเลือกที่หน้าตาก่อน แล้วอาบ อบ นวด หน้าตาสวยๆจะแพงมาก ซึ่งเมื่อได้มาเที่ยวนวดกะปู๋มันก็ถือว่าถูกกว่า และตรงกับความต้องการของเราที่อยากจะผ่อนคลายนิดหน่อย”
     น้องๆ แต่ละคนนั้นก็มีการให้บริการที่แตกต่างกันไป อาจเพราะเขายังหนุ่มอยู่ทำให้เขายังไม่เคยได้รับการบริการที่ไม่ดี และทุกครั้งแน่นอนว่าต้องมีการพูดคุยทำความรู้จักระหว่างกัน
     “ระดับสามที่มีอะไรกัน มันแพงเกินไปสำหรับผม แต่มีครั้งหนึ่งที่มีน้องคนหนึ่งซึ่งผมไปใช้บริการเขาบ่อย เจอกันบ่อย ก็มีครั้งหนึ่งที่เหมือนเขาจะอยากมีอะไรกันแบบไม่ต้องเสียเงิน แต่ผมนึกว่าเขาล้อเล่น เพราะตอนนั้นผมไม่รู้”
     แก่นแท้ของบริการประเภทนี้ ส่วนหนึ่งก็คือการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม เขาเผยถึงประสบการณ์กับน้องคนหนึ่งที่เขาไปใช้บริการอยู่เป็นประจำ ซึ่งเขาเผยว่า มีครั้งหนึ่งที่เขาติดใจเลดี้บอย หรือสาวประเภทสอง เพราะบริการดี ใจถึง แต่ในส่วนประเด็นเรื่องราคานั้น การเที่ยวบริการแบบนี้ก็ถือเป็นรายจ่ายที่ค่อนข้างแพง
     “จริงๆ มันก็ถือว่าราคาแพง เปลืองเงินนะ มันก็เหมือนให้คนอื่นช่วยเหลือตัวเองให้เรา แต่ถ้ามีเงินเหลือเยอะก็จะไปผ่อนคลายบ้าง”
          สิ่งทดแทนอาบ อบ นวด
       ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจนวดกะปู๋ ธุรกิจคู่แข่งอย่างอาบ อบ นวดกลับอยู่ในช่วงทรงตัวที่ไม่เติบโตขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้ามาใช้บริการ
       ภาคภูมิ สิทธิวุฒิ ผู้บริหารเว็ป ilikemassage.com ศูนย์รวมข้อมูลบริการอาบ อบ นวด เผยถึงความนิยมของการเปิดสถานบริการนวดกะปู๋ว่า เปิดกันมากขึ้นจนแทบหยุดไม่อยู่
      “อาบ อบ นวดก็ยังมีคนใช้บริการอยู่ พวกป๊าไม่ชอบลุ้นน่ะครับ เขาก็ชอบอาบ อบ นวดที่ได้มีอะไรกันชัวร์ ซึ่งในเรื่องของการเปิดบริการ อาบ อบ นวดจะจดทะเบียนเป็นสถานบริการครับ ซึ่งราคาของใบอนุญาตแต่ละห้องแพงมาก ขณะที่นวดกะปู๋จดทะเบียนในฐานะเป็นรีสอร์ทสปา แต่เบื้องหลังเขาจ่ายกันยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง”
   ในส่วนของความปลอดภัยนั้น เขามองว่า คนทั่วไปจะรู้สึกว่าบริการนวดกะปู๋นั้นปลอดภัยกว่าอาบ อบ นวด แต่จริงๆแล้วอาบ อบ นวดจะมีการตรวจร่างกายตลอดเพื่อป้องกันโรคตามกฎที่กำหนด ขณะที่นวดกะปู๋นั้นไม่มี
   “กลุ่มลูกค้าของนวดกะปู๋ก็เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นวัยรุ่นซะเยอะ อันนี้จากที่ผมตั้งข้อสังเกตนะ อาจไม่ได้อ้างอิงอะไรได้”
   มาถึงตอนนี้ แม้สถานบริการอย่างอาบ อบ นวดจะลดจำนวนลง และมีการจะเสนอยกเลิกพรบ.สถานบริการประเภทสาม(อาบ อบ นวด) ดังที่เป็นข่าวจากกรณี 'เอไลน่า' จนดูเหมือนว่าการค้าบริการทางเพศคงหมดไปจากสังคมไทยในไม่ช้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นไปในทางตรงข้าม
   แน่นอนว่าสังคมนี้ไม่ควรยอมรับ หรือทำให้สิ่งผิดเป็นสิ่งถูก ทว่าผลของการออกกฎข้อห้ามก็ดูเหมือนจะให้ผลตรงกันข้าม ชนิดที่ต่อให้มาร้องโวยวายเรื่องศีลธรรมกันมากมาย ในสังคมปากว่าตาขยิบแบบนี้ เสียงใดๆก็ดูจะไม่มีผลต่อความเป็นไปที่ดำรงอยู่เลย
       ศัพน์ในวงการนวด
       ส่งการบ้าน คือ การที่ไปเที่ยวมาแล้วเขียนลงเว็ปบอร์ดเพื่อแบ่งปันประสบการณ์
       นางไม้ คือ สวยแต่ไม่บริการ แข็งทื้อเหมือนท่อนไม้
       เงินหล่น คือ บริการไม่คุ้มค้า
       เงินทอน คือ คุ้มค่า
       กรุ๊งกริ๊ง คือ ได้รับบริการจากน้องต่ำกว่ามาตรฐานที่คาดหวังไว้เล็กน้อย
       ถูกล้วงกระเป๋า คือ การที่น้องที่หมายตาถูกเรียกตัดหน้าไปอย่างน่าเสียดาย
       ม้าลาย คือ สาวบริการที่เป็นนักศึกษา
       ไฟเตอร์ คือ น้องที่บู๊ดุเดือดสู้ไม่ถอย
       ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
       www.manager.co.th
       ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต thainewsland.com

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

4 แหล่งโปรดของคุณสาวๆ ที่ซ่องสุมเชื้อโรคเพียบ

 By Lady Manager


เพราะ เชื้อโรค มีอยู่รอบตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งสถานที่ที่ผู้หญิงเราต้องเดินทางไปเยือนบ่อยครั้ง อย่าง ห้องน้ำสาธารณะ ร้านทำเล็บ ฟิตเนส ฯลฯ เพราะแม้จะดูสะอาดตา น่าไว้วางใจ ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นแหล่งสะสมซ่อนเชื้อโรคเพียบ!
       มาดูกันค่ะ ว่าสถานที่ยอดฮิต ซึ่งสาวเราต้องไปเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยๆ นั้น จะมีเชื้อโรคแฝงตัวอยู่จุดไหนตำแหน่งใดกันบ้าง
แหล่งแรก : ฟิตเนส
       สำหรับสาวรักสุขภาพที่หมั่นไปออกกำลังกายฟิตหุ่นตามฟิตเนส (fitness) หรือสปอร์ตคลับ (sport club) บ่อยครั้ง ขอบอกตรงนี้เลยว่า... หากไม่ระวัง ฟิตเนสที่คุณไปเยือนเพื่อหวังสร้างสุขภาพ อาจจะนำเชื้อโรคมาสู่คุณได้!
        จุดแรกที่เชื้อโรคอาจแฝงตัวอยู่ คือ พื้นห้องน้ำ ที่เต็มไปด้วยความชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เชื้อรา และเชื้อไวรัส (virus) เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี และเชื้อโรคเหล่านี้เอง ที่เป็นต้นตอของโรคผิวหนังหลากหลายชนิด หากคุณเผลอไปเดินเท้าเปล่าในห้องน้ำบ่อยๆ ล่ะก็ ระวังฮ่องกงฟุตหูดจะถามหานะคะ
       อีกจุดที่ต้องเตือนกันดังๆ คือ บริเวณเก้าอี้..ที่นั่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งในตู้อบซาวน่า (sauna) ในห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัว ฯลฯ ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงมากๆ ที่คุณจะติดเชื้อโรคได้ หากคุณนุ่งผ้าขนหนูสั้นๆ แล้วดั๊นเผลอถลกผ้าขนหนูขึ้นสูง จนก้นที่เปลือยเปล่า ต้องสัมผัสกับพื้นที่นั่งโดยตรง เชื้อแบคทีเรียที่ติดอยู่ตามที่นั่ง อาจเข้ามาป้วนเปี้ยนในน้องหนู และทำให้คุณเกิดผื่นแดง คันยุบยิบ หรือถึงขั้นเกิดเกลื้อนบริเวณจุดซ่อนเร้นได้เลยหล่ะ
       จุดเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้ามคือ เครื่องออกกำลังกายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นดัมเบล (dumbell), ลู่วิ่ง, หรือจักรยานไฟฟ้า ฯลฯ กว่าจะมาถึงมือคุณ ต้องมีหลายคนเล่นหลากคนจับ จนเชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่างๆ เกาะติดอยู่ ฉะนั้นหลังออกกำลังกาย หรือสัมผัสกับเครื่องออกกำลังกายแล้ว อย่าเพิ่งเอามือสัมผัสดวงตา, ปาก, จมูก จนกว่าจะล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสียก่อน 
แหล่งที่สอง : ร้านทำเล็บ 
       อีกสถานที่ยอดฮิตซึ่งสาวเราปลื้มปริ่ม อย่างร้านทำเล็บ ก็เป็นอีกแหล่งที่จะติดเชื้อโรคได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอ่างแช่เท้า ที่หากทางร้านล้างอ่างแช่เท้านั้นไม่สะอาด หรือมีระบบการระบายน้ำไม่ดี (กรณีเป็นอ่างระบบน้ำวน) เชื้อโรคในท่อน้ำทิ้งอาจวนเวียนกลับมาอยู่น้ำที่คุณแช่เท้า และการเอาเท้าลงไปแช่ในน้ำเปื้อนเชื้อโรคนี้ จะมีความอันตรายมากขึ้นเป็นทวีคูณ หากคุณดันเผลอโกนขนหน้าแข้ง ก่อนเข้าไปทำเล็บเท้า! ทั้งนี้เพราะการโกนขนหน้าแข้ง มีโอกาสทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการระคายเคือง แถมเปิดทางให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าไปยังรูขุมขนได้ง่ายขึ้นอีกต่างหาก
       ดังนั้นก่อนจะไว้วางใจให้ช่างเล็บได้ตกแต่งเสริมสวยแก่มือเท้า ควรเลือกร้านที่ไว้ใจได้ ดูสะอาดสะอ้าน สังเกตสักนิดว่าทางร้านมีระบบฆ่าเชื้อโรคอย่างไร กรรไกรตัดเล็บหรืออุปกรณ์ที่เป็นโลหะ มีการนำไปอบฆ่าเชื้อหรือไม่ รวมไปถึงตะไบเล็บ ถ้าให้ดีควรเลือกร้านที่ใช้ตะไบเล็บแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพราะของเหล่านี้ต้องสัมผัสกับผิวของคุณโดยตรง คิดดูสิ... หากตะไบเล็บนั้นถูกใช้งัดซอกเล็บขบของคนอื่นจนเลือดซิบๆ มาแล้ว เมื่อเอามางัดแงะเล็บของคุณอีก เชื้อโรคจะไม่ติดตามมาหรอ!?
 แหล่งที่สาม : ห้องน้ำสาธารณะ
       “การใช้กระดาษทิชชู่ซับที่รองนั่งชักโครก สามารถเช็ดเอาสิ่งสกปรก และเชื้อโรคออกได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคได้ 100%” ดร.Philip M.Tierno ผู้อำนวยการสถาบันจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย New York ระบุ
       เขาแนะนำว่า คุณสาวๆต้องระมัดระวังการเข้าห้องน้ำสาธารณะให้มากเป็นพิเศษ เพราะแม้จะเช็ดคราบน้ำคราบสกปรกออกจนหมด แต่เชื้อแบคทีเรียเชื้อไวรัสจากอุจจาระหรือปัสสาวะของใครต่อใครที่เข้าก่อนคุณอาจยังหลงเหลืออยู่ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้คุณใช้ทิชชู่ชนิดที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดก่อนนั่ง หรือพกพากระดาษรองนั่งไปปูทับฝาชักโครกก่อนทำกิจส่วนตัว จะป้องกันตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
        และหลังเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตั๊วส่วนตัวแล้ว ควรปิดฝาชักโครกก่อนกด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายในอากาศ ที่สำคัญ หลังเข้าห้องน้ำแล้ว ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ ถูอย่างน้อยสัก 15 วินาทีให้ทั่วทั้งมือ ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือหากไม่มีสบู่ก็ต้องใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคติดมือคุณออกไป เพราะหากในมือมีเชื้อโรคอยู่ แล้วไปเผลอหยิบจับอาหารเข้าปาก ระวังจะเจ็บป่วยได้ง่ายๆ
แหล่งที่สี่: ห้างสรรพสินค้า
        เมื่อยามไปเดินช้อปปิ้ง (shopping) เลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อาจมีหลายแบรนด์หลากแบบให้เลือก และถ้าจะรู้ว่าถูกใจจริงมั้ยก็ต้องลองสวมใส่ซะหน่อย...นี่เองที่เป็นอีกจุดที่ซ่อนความเสี่ยงเอาไว้
       
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลองชุดว่ายน้ำหรือชุดชั้นในนั้น อันตรายมาก เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่า ก่อนจะมาถึงคุณ ชุดนั้นๆ ถูกใครลองมาบ้างแล้ว หากผู้ที่มาลองสวมใส่ก่อนหน้าคุณเขามีแผลพุพอง หรือเป็นโรคผิวหนังอยู่ เสื้อผ้าเหล่านั้นก็จะมีเชื้อโรคเชื้อไวรัสเกาะติดอยู่ เมื่อคราวเคราะห์บังเกิด คุณดั๊นไปลองเจ้าชุดติดเชื้อโรคนั้นพอดี คุณก็มีโอกาสจะติดเชื้อราหรือเชื้อไวรัส จนเกิดโรคผิวหนังโรคเริมได้
       
นอกจากนี้การไปยืนทดลองแต่งหน้าที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องระวัง เพราะคุณก็ไม่อาจทราบได้อีกเช่นกัน ว่าเครื่องสำอางสำหรับทดลองนั้น ผ่านมือใครต่อใครมาบ้าง จะมีเชื้อโรคแฝงอยู่มากน้อยแค่ไหน เกิดสุ่มสี่สุ่มห้าไปลองอายแชโดว์ (eye shadow) หรือมาสคาร่า (mascara) ที่มีเชื้อโรคเข้า คุณอาจถึงขั้นป่วยเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบได้เลยหล่ะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากติดโรคจากสาวนักช้อปคนก่อน ใช้วิธีทดลองเครื่องสำอางที่มือ หรือข้อมือของคุณแทนดีกว่า.. ปลอดภัยกว่าเยอะ!
       
       เรียบเรียงจากไชน์

อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
รอบคอบสักนิด...หากคิดเข้าฟิตเนส
   ปัจจุบันคนทำงานออฟฟิศเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการออกกำลังกายมากขึ้น โดยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกฟิตเนสต่างๆ ที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง สนนราคาค่าสมาชิกต่อปีก็มิใช่น้อยอย่างต่ำๆ ต้องมีหลักหมื่นขึ้นไป เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าบรรดาฟิตเนสต่างก็งัดกลยุทธ์ต่างๆ มาดึงดูดใจลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการหักค่าสมาชิกจากบัตรเครดิตเป็นรายเดือน กลยุทธ์ลดแลกแจกแถม ให้ลองเล่นฟรี ตลอดจนใช้วิธีสมาชิกแนะนำสมาชิกรับของที่ระลึก
          ดังนั้น เพื่อให้การใช้เงินครั้งนี้ของเราเป็นไปอย่างคุ้มค่าก่อนตัดสินใจสมัครสมาชิกฟิตเนส อยากจะให้พิจารณาให้รอบคอบสักนิด
  1. อันดับแรกก็ต้องมีวินัย การตัดสินใจออกกำลังกายนับเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ต้องมีวินัย ถ้าไม่มีวินัยท่านจะเสียเงินฟรี อย่างน้อยๆ ต้องไปให้ได้สัปดาห์ละ 3 วัน แต่ถ้าคิดว่าทำได้น้อยกว่านี้อย่าสมัคร ไปวิ่งจ๊อกกิ้งรอบบ้าน หรือไปสวนสาธารณะถูกกว่า
  2. อย่ารีบสมัครเพียงเพราะเพื่อนชวน กลยุทธ์สมาชิกแนะนำสมาชิกที่ฟิตเนสต่างๆ นำมาใช้นับว่าได้ผลมาก เมื่อมีคนสมัครสมาชิกจะให้แนะนำรายชื่อเพื่อนอีก 5 - 10 รายชื่อ พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ โดยจะมีของสมนาคุณให้ 1 ชิ้นเมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งคนใดสมัครสมาชิก ผู้ที่แนะนำก็จะได้ของอีก 1 ชิ้น และทำอย่างนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรเป็นกลยุทธ์ของเขา แต่เราผู้ที่จะสมัครต้องพิจารณาดีๆ พร้อมหรือไม่ ทั้งด้านการเงิน และเวลา
  3.สอบถามค่าสมาชิกให้ชัดเจนส่วนใหญ่เวลาโทรมาชักชวนจะอ้างชื่อเพื่อนที่แนะนำ หลังจากนั้นจะโฆษณาว่ามีเล่นอะไรได้บ้างดีอย่างไร มีสาขามากมาย สะดวกสบายหักค่าสมาชิกเป็นรายเดือนได้โดยหักจากบัตรเครดิต โดยยังไม่บอกว่ามีค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือหากบอกก็จะเป็นลักษณะประมาณว่าราคาปกติเท่านี้ แต่ถ้าสมัครภายในวันนี้จะได้รับส่วนลด 50% ทันที อะไรทำนองนี้ แต่ที่น่าเจ็บใจคือ บางคนต่อรองเก่งๆ ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้า คนไหนต่อไม่เป็นคิดว่า "โอ้โฮวันนี้ลดตั้ง 50%" ก็รีบสมัคร… เรียบร้อยโรงเรียนฟิตเนส อย่าไปตื่นเต้นกับประโยคที่ว่า "ราคานี้วันนี้วันสุดท้ายแล้ว" เพราะอาจทำให้กระเป๋าเราไม่ฟิตและไม่เฟอร์ม
  4.อ่านกติกาดีๆ สมัครไปแล้วหากไม่ถูกใจยกเลิกได้หรือไม่ บางแห่งมีกติกาห้ามยกเลิกภายในปีแรก แต่สามารถขอหยุดพักได้หลังจากสมัครไปแล้ว 3 เดือน โดยเสียค่าสมาชิกรายเดือน 20% ของค่าบริการรายเดือน ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมาย ก็ขอให้อ่านให้เข้าใจเรียบร้อยก่อน อย่ารีบร้อน
  5.สอบถามขั้นตอนการให้บริการให้ชัดเจนมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง เช่น มีการแนะนำการใช้เครื่อง การจัดโปรแกรมการออกกำลังกาย มีครูฝึกที่คอยแนะนำไหม ใช้บริการสาขาไหนได้บ้างขั้นตอนเป็นอย่างไร ฯลฯ เพราะเครื่องออกกำลังกายบางครั้งถ้าเราเล่นไม่ถูกวิธีก็อาจเกิดปัญหาต่อร่างกายได้
  6.การจัดโปรแกรมเฉพาะที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในบางรายอาจต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผลหรือลดเฉพาะบางส่วน ต้องมีครูฝึกส่วนตัวซึ่งต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่ม โปรดระวังถ้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถไปได้ตามเวลาที่กำหนดโปรดยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน มิฉะนั้นท่านจะเสียเงินฟรีอีก เพราะถ้าไม่สามารถทำได้ตามเวลาที่กำหนด ส่วนเกินต่างๆ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม
  7.ก่อนสมัครสมาชิกควรขอทดลองใช้บริการก่อน เพื่อจะได้ตรวจสอบก่อนว่าเป็นไปตามคำโฆษณาหรือไม่
          การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี และมีหลายวิธีที่ช่วยให้เราออกกำลังกายได้ การสมัครใช้บริการฟิตเนสก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เราสนใจอยากจะออกกำลังกายเพราะมีอุปกรณ์ มีเพื่อน และผู้ให้คำแนะนำพร้อม แต่เพื่อให้ทั้งร่างกายและกระเป๋าเรา "ฟิตแอนด์เฟอร์ม" ทางที่ดีก็ควรตรวจสอบให้รอบคอบก่อน...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th
ภาพจาก Internet
consumersouth.org

วัยเริ่มสาวริทำศัลย์ โตขนาดไหนถึงทำตากับจมูกได้?

By Lady Manager

Question ลูกสาวอยากไปทำตากับจมูก ตอนนี้อายุ 14 ปี ทำได้ไหมคะ
       Answer โดย นพ. สมศักดิ์ คุณจักร ศัลยแพทย์เจ้าของ The Cosmetic Surgery Clinic
      “ตาสองชั้น ทำได้ เพราะถ้าตาเกิดชั้นแล้ว มันเกิดเลย ยกเว้นบางคนอาจหลุดได้หลังจากเย็บแล้ว เนื่องจากหนังคนเสื่อมได้ แก่ได้ มันก็หย่อน ก็ตกมา
     ต่อไป หากเด็กไม่มีชั้น หรือชั้นเล็กไป เราก็มีเทคนิคการเย็บที่ไปทำชั้นให้โตขึ้น โดยไม่ต้องไปกรีด ฉะนั้นทำตาอายุเท่าไรก็ได้ ขอแต่เด็กให้ความร่วมมือ คือ อยากทำ และยอมฉีดยาชา ไม่ใช่ดิ้นปัด”
     เซียนศัลยกรรมท่านนี้เล่าประสบการณ์การทำตาสองชั้นให้เด็ก 7 ขวบ
      “เคยมีเด็กอายุ 7 ขวบมาทำตากับผม พ่อแม่บอก-เขาอยากทำเอง อยากมากเลย ผมถาม-ไหวเหรอฉีดยาชา เด็กบอก-ได้เลย ผมยังบอกให้แม่เข้ามาช่วยจับ เด็กบอกไม่ต้อง และพอทำจริงๆ นิ่ง เฉย ไม่งอแงเลย ผิดกับผู้ใหญ่บางคนที่ใจไม่พร้อม ดิ้นแล้วดิ้นอีก”
       
       ทว่าสำหรับการเสริมดั้งด้วยซิลิโคน (Silicone) หนูวัยเริ่มแตกสาวยังไม่ควรค่ะ
    “ต้องให้โครงสร้างกระดูกนิ่งก่อน โดยทั่วไปต้องอายุ 16 ปีขึ้นไปก่อน เนื่องจากโครงสร้างมนุษย์เรายังยาวต่อได้อีก
    ถ้ารีบใส่ซิลิโคน ต่อไปจมูกมันยาวได้อีก มันจะมีปัญหาว่าซิลิโคนสั้นไป เพราะซิลิโคนยาวตามไม่ได้ ก็ต้องมาเปลี่ยน มาแก้ใหม่ได้”
        เอาให้ชัวร์ ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเปลืองตังค์เพิ่ม โปรดรอเข้าสู่วัยอุดมศึกษาก่อนดีกว่านะคะหนูๆ

 ไหนๆ มีคนถามเรื่องอายุน้อยที่สุดที่เหมาะสมแก่การทำศัลยกรรมตากับจมูกแล้ว เราจึงถือโอกาสถามหมอสมศักดิ์ถึงอายุที่มากที่สุดสำหรับการขึ้นเขียงทำสวยด้วยมีดหมอ
       “ไม่มีกำหนด”
        กระนั้นก็ตาม ต้องคำนึงถึงสภาพร่างกายภาวะโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว แม้ว่าจะมีเงินมากขนาดไหนก็ไม่ควรเสี่ยงค่ะ หมอสมศักดิ์เล่าประสบการณ์คุณยายอายุ 76 ปีที่ปรารถนาอัฟดั้งก่อนตายให้ฟังว่า
       “เคยมีอายุ 76 ปี ให้ลูกพามา อยากทำจมูก ผมปฏิเสธไป
       เหตุผลเค้าคือ เป็นคนอีสาน มีความใฝ่ฝันอยากทำจมูกมาแต่ไหนแต่ไร ชอบ อยากทำมาก ลูกเป็นกระเทยและเป็นแชมป์ทำผม ตัวลูกเคยทำจมูกมาหลายครั้งไม่ดีสักที ตอนหลังมาเจอผม ผมทำแก้ให้เรียบร้อย พอแม่เห็นก็ชอบ บอกสวยมาก ตื้อให้ลูกคนนี้พามาหาผม จริงๆ แล้ว ลูกคนอื่นไม่ให้ทำ แต่ลูกกระเทยคนนี้โอเค
      ลูกเค้าเล่าให้ผมฟังว่า มีอยู่วันหนึ่ง แม่แกหัวใจวาย หมอปั๊มฟื้นขึ้นมา และทันทีที่แม่ฟื้น แม่จับจมูก จมูกยังไม่เสริมเลยไม่ยอมตาย ให้ลูกพามา บอกผม-แม่บอกยังตายไม่ได้ จมูกยังไม่โด่ง เดี๋ยวชาติหน้าจมูกแบนเหมือนชาตินี้ ต้องทำให้โด่งก่อน ขอจมูกโด่งก่อนตาย ขอให้ทำให้หน่อย
      ผมบอก-เอ้า! เพิ่งหัวใจวายเมื่อเร็วๆ นี้ เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ผมตายแน่ เอาเงินมากองเป็นล้านๆ ผมก็ไม่กล้าทำให้ ไม่คุ้ม”
       แล้วคุณๆ ล่ะ คุ้มไหมกับการเสี่ยง..
      หากสรีระร่างกายไม่เอื้อ และวุฒิภาวะก็ยังไม่พร้อม จงหักห้ามใจเถอะค่ะ
     # ท่านผู้อ่านสามารถฝากคำถามสารพันปัญหาคาใจหญิงเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความงาม และแน่นอน เรื่องเซ็กซ์กับความสัมพันธ์ มาได้ที่ lady@astvmanager.com เราจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาเคลียร์ให้หายคลางแคลงใจเลยค่ะ *_*

อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th
ภาพจาก Internet


6 วิธีจับคู่ใส่ ยีนส์เหลือง ให้กิ๊บเก๋ กล้าแซ่บออกจากบ้าน


By Lady Manager
ต้าย ตาย! หล่อนซื้อสกินนี่เหลืองมาใส่เหรอ ใครเข้าฝันยะ!

       อย่าทำให้การมีกางเกงยีนส์สีสวยๆ สักตัว ต้องเป็นเรื่องยุ่งยากในการหาเสื้อมาใส่ หรือกลัวจะฮา ใส่ปุ้บหมดความมั่นใจในตัวเองปั้บ แทบอยากจะเข้าห้องน้ำถอดกางเกงซะงั้น
       สีเหลืองช่างเป็นสีที่สดใส ท้าทายทุกสายตา ไม่ยากหากจะใส่ซะอย่าง เรามีวิธีการใส่ยีนส์เหลืองอย่างไรให้สวยล้ำมาฝากกันจ้า 
       วิธี1 : ใส่กับเสื้อสีเข้ม
แนะนำให้ใส่คู่กับเสื้อสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีดำ เทา น้ำตาลเข้ม เพราะด้วยความที่กางเกงยีนส์สีก็เหลืองแล้ว หากใส่สีแดง หรือสีเขียว โทนสีสว่างโร่ด้วยกัน มันจะทำให้รู้สึกว่า เจ๊คนนี้แต่งตัวเป็นรึป่าว หรือแกคือ “สมทรง”เพิ่งหลุดออกมาจากหนังเรื่องคำพิพากษาหรือเปล่านะ
       
       วิธี2 : ใส่กับ Converse

ผ้าใบ Converse เชื่อเลยว่า ทุกคนต้องมี เพราะรองเท้าผ้าใบยี่ห้อนี้เปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านหรือพาราเซตามอล ที่ทุกครัวเรือนต้องมี 
       หากใส่ผ้าใบ Converse สีดำกับยีนส์เหลืองด้วยแล้ว จะดูดีมีสไตล์ ในคราบของสาวมาดเท่ ขาลุย เก๋ทุกท้วงท่า น่ามอง ดูเป็นสาวรักศิลปะ มีความคิดสร้างสรรค์ มั่นใจในตัวเองสุดๆ
       
       วิธี3 : ใส่กับเชิ้ต

กางเกงสีเหลืองกับเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง หรือพอดีตัว ให้ความรู้สึกสบาย เป็นกันเอง น่าคบหา น่าคุยด้วย และดูเป็นสาวมนุษยสัมพันธ์ดี เพราะเสื้อเชิ้ตใส่ได้ทุกสถานการณ์ ทุกโอกาส แม้แต่จับคู่กับยีนส์เหลืองยังสามารถทำได้!
       
       วิธี4 : ใส่กับส้นเข็ม

ไม่มีอะไรที่จะเหมาะกว่านี้อีกแล้ว! ส้นเข็ม หรือส้นสูงแหลมเปี้ยวสีดำ หรือสีเข้ม กับกางเกงสีเหลือง แอบพับขาเล็กน้อยเพิ่มลูกเล่นโชว์รองเท้าส้นเข็มทวีดีกรีความเซ็กซี่ขี้เล่น เพราะส้นสูงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้ และไม่อยากขาด!
       
       วิธี5 : ใส่กับเครื่องประดับสไตล์โบโฮ

แฟชั่นเสื้อผ้าโบฮีเมี่ยน (Bohemian) หรือที่เหล่าบรรดาแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายเรียกกันสั้นง่ายกระชับว่า โบโฮ (Boho)
       เพราะสีเหลืองเป็นสีของบุฟผาชน และเสรีภาพ เรามักคิดถึงอิสระเสรี สไตล์สาวฮิปปี้ ปาล์มมี่ ผ้าชีฟอง หรือผ้าลูกไม้ และที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องประดับชิ้นโตประเภทกำไลสี รองเท้าแตะสาน และเชือกถักคาดผม ดอกไม้ช่อโตประดับศีรษะ เหล่านี้ลองมาจับคู่กับยีนส์เหลืองซิ แซ่บอย่าบอกใครเลยล่ะ!
       
       วิธี6 : ใส่กับเสื้อสีม่วง

สีเหลืองกับสีม่วงเป็นคู่สีที่ตรงข้ามกัน และอยู่ในกลุ่มโทนสีร้อน ยิ่งหากนำมาใส่คู่กัน จะยิ่งเสริมสร้างความสดใส เป็นคู่สีที่ลงตัว และดูดี ดูเป็นสาวแฟชั่น แต่งตัวเป็นซะด้วย
       
สีม่วงพลัมเป็นสีที่ถูกโฉลกกับทุกโทนสีผิว สาวผิวคล้ำกรำแดดไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ยีนส์เหลืองแล้วชาวบ้านแอบขำเรี่ยราดสะกิดเพื่อนลุกมาฮานะ เพราะหากเราใส่เสื้อสีม่วงพลัมเข้าไปแล้ว ทุกสายตาจะจับจ้อง พร้อมเอ่ยปากว่า “เจ๊คนนี้แต่งตัวกิ๊บเก๋เนอะ”
       ลองจับคู่แต่งตัวดูนะจ๊ะ แล้วคุณจะรู้ว่าแฟชั่นกับผู้หญิงเป็นเรื่องสนุก อย่าไปเขินหรืออาย ไม่มั่นใจในตัวเองในการแต่งตัว อย่าลืม ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งนะฮะ!
       เรียบเรียงจากไชน์ 

อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th
ภาพจาก Internet




เพราะอะไรผู้หญิง(บางคน)หนวดขึ้น..เห็นชัด ควรถอนหรือรักษาด้วยวิธีไหน

By Lady Manager

 Question มีขนขึ้นบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนวด ..เห็นชัดเลยค่ะ ทำไมคะ แล้วควรถอนหรือรักษาด้วยวิธีไหน ?

       Answer  โดย พ.ญ. รุจิรัตน์ วงศ์ทองศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแห่ง Genesis Skin Klinik 
      "หนวดหรือขนบนใบหน้าที่เยอะเกินไป อาจทำให้สาวๆ หลายนางเสียเซลฟ์ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้หญิงขนดกจนเหมือนมีหนวด ก็มาจากพันธุกรรมเป็นหลัก โดยลักษณะดังกล่าวนั้นถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
       ลักษณะขนบนใบหน้าที่มากเกิน ปกตินั้นเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ระหว่างการตั้งครรภ์ หรือช่วงที่บำบัดรักษาโดยมีการทดแทนฮอร์โมน จะทำให้เกิดการกระตุ้นฮอร์โมน ไปเร่งการเจริญเติบโตทำให้ขนส่วนเกินบนใบหน้ามีมากขึ้น
       
       ทว่าการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย หรือ ฮอร์โมนต่อมหมวกไตมากเกินไป การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในเพศหญิง ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ว่าภาวะขนดกของคุณมีสาเหตุจากความผิดปกติหรือไม่
    และการที่ขนขึ้นเฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่งนั้น เช่น หน้าผาก หรือเหนือริมฝีปาก เพราะบริเวณดังกล่าว มีความไวต่อฮอร์โมน ต่างจากผิวส่วนอื่น แต่จะมียาบางตัวที่ทำให้ขนขึ้นเยอะผิดปกติได้ เช่น ยาปลูกผม ทานแล้วอาจจะทำให้ขนเยอะขึ้น
   ส่วนวิธีกำจัดขนหนวดนั้น หากเราเลือกจะโกนเราต้องโกนซ้ำเป็นประจำ และจะทำให้เกิดร่องรอยบนผิวหนังชัดเจน เกิดการระคายเคือง อีกทั้งยังทำให้ขนขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ส่วนการใช้แหนบถอน จะทำให้ผิวบริเวณนั้นบาดเจ็บ อักเสบ แดง และเจ็บ การแว็กซ์ (Wax) ก็จะทำให้ผิวบริเวณนั้นหยาบแห้ง
             หมอจึงแนะนำว่า วิธีทำเลเซอร์ดีที่สุด การกำจัดด้วยไฟฟ้าและการทำเลเซอร์ เริ่มที่การกำจัดด้วยไฟฟ้า คือ การใช้เข็มแทรกเข้าไปที่รากขน แล้วช็อตด้วยกระแสไฟขนาดเล็กที่ยิงผ่านเข็ม เส้นขนจะถูกทำลายอย่างถาวร เส้นต่อเส้น จะเห็นผลถาวรมากกว่า เพราะเป็นการทำลายรากขนตรงจุดนั้น โอกาสกลับขึ้นมาจะน้อยกว่า และบางกว่า"

 # ท่านผู้อ่านสามารถฝากคำถามสารพันปัญหาคาใจหญิงเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความงาม และแน่นอน เรื่องเซ็กซ์กับความสัมพันธ์ มาได้ที่ lady@astvmanager.com เราจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาเคลียร์ให้หายคลางแคลงใจเลยค่ะ *_*



อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:

www.manager.co.th
ภาพจาก Internet